ออกเดินทางจากสนามบินสุราบายา (Juanda Internation Airport Surabaya) มุ่งหน้าสู่คาวาอีเจ้น (Kawah Ijen Volcano) หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคาวาอีเจ้นได้ที่ wiki (http://en.wikipedia.org/wiki/Ijen) ใช้เวลาเดินทางราว 8 ชั่วโมง (เดินทางตอนกลางคืนในสภาพอากาศปกติ ไม่มีฝน) ทางไปอีเจ้นลำบากมาก ถนนเต็มไปด้วยหลุมบ่อที่ลึกมาก แอบนึกสงสารรถอยู่ในใจ กลัวล้อจะนำรถ…
เราเลือกที่พักที่ Catimor Homestay เป็นที่พักที่อยู่เกือบจะลึกสุด ระหว่างทางเข้าที่พัก เราจะเห็นไร่ชาและกาแฟมากมาย คนดูบางตา นักท่องเที่ยวหาไม่เจอ อาจเป็นเพราะเรามาถึงช่วงเช้า น่าจะเป็นช่วงที่ทุกคนกำลังเดินเพลิดเพลินอยู่กับคาวาอีเจน
ถึงที่พัก8 โมงนิดๆ ของีบเอาแรงก่อน เพราะระหว่างทางนอนไม่ค่อยหลับ
ตื่นมาอีกทีตอนบ่ายโมง เพราะท้องเริ่มร้อง ขอจัดอาหารด่วนๆ พอไปถามที่โฮมสเตย์ เค้าคิดค่าอาหารเป็นหัว (อารมณ์บุฟเฟ่) ที่ประกอบด้วย ข้าว (เยอะมาก) มาม่าผัด น่องไก่ทอด ไข่เจียวม้วน ต้มจืด ข้าวเกรียบ และมันทอด
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พอกินอิ่มก็ออกเดินสำรวจรอบๆ โฮมสเตย์ เดินออกไปหน้ารีสอร์ท จะเจอทางเดินไปหมู่บ้านเล็กๆ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ สีสันสดใส ผู้คนก็ยิ้มแย้มดี มีเด็กๆ น้อยวิ่งตาม แล้วพูดว่า “pen pen” ตอนแรกเราก็งงว่าเค้าพูดภาษาอะไร แต่เด็กน้อยทำท่าเขียนประกอบ เลยเข้าใจว่าน้องๆ ขอปากกา ว้า… เสียใจ ไม่ได้พกปากกาไปด้วย เลยเอาลูกอมให้แทน (ถ้าใครได้มีโอกาสไป อย่าลืมพกปากกา ดินสอติดไม้ติดมือไปด้วยนะคะ)
เดินลงทางลาดชันไปข้างล่างเจอบ่อน้ำแร่ เข้าไปเล่นต้องเสียเงิน เท่าที่มองไป ไม่เห็นมีคนเลย เลยตัดสินใจไม่เข้า เพราะไปแช่น้ำแร่ที่โฮมสเตย์ดีกว่า ฟรีด้วย
เดินเข้าไปอีกนิด เริ่มจะงงแล้วไม่รู้ว่าไปทางไหนต่อ เลยตัดสินใจเดินกลับที่พัก ไปนั่งแช่น้ำแร่ พร้อมกับชิมเบียร์ท้องถิ่นไปพลาง เพลินดีแท้
มื้อเย็นก็ยังอาศัยครัวของโฮมสเตย์เพราะขี้เกียจออกไปไหน และจะรีบเข้านอนแต่เช้า พรุ่งนี้ต้องไปลุยคาวาอีเจ้นแต่เช้าตรู่ ช่วงค่ำ จัดแจงจ่ายเงินค่าที่พักและค่าอาหารทั้งหมด รวมถึงนัดแนะเวลากับคุณพลาโต้ (คนขับรถ)
เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน… ตื่นตีสี่กว่า ออกมาขึ้นรถตอนตี 5 ขณะนั้นทุกคนได้หายไปหมดแล้ว แต่เราก็ยังไม่รีบ เพราะไหนๆ เปลวไฟสีฟ้าก็ไม่รอเราแล้ว จะรีบไปทำไม เดินมาหยิบอาหารเช้าที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ (ได้แก่ ไข่ 1 ฟอง แซนวิชไส้ช็อคโกแลต แค่นั้น) แล้วออกเดินทางไปยังทางเดินขึ้นคาวาอีเจ้น ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
เวลาเกือบๆ จะ 6 โมงเช้าไปถึงทางเดินขึ้น พระอาทิตย์สว่างมากแล้ว จ่ายค่าเข้าอุทยานคนละ 15,000 IDR เห็นเค้าว่าต้องเสียค่ากล้อง/ กล้องถ่ายวีดีโอด้วย (แต่เราไม่เสีย คิดว่าเค้าน่าจะเก็บเฉพาะกลุ่มที่ถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอเพื่อการค้านะ) ป้ายบอกระยะทาง 3 km คิดในใจสบายๆ ไม่ไกลเท่าไหร่หนิ
เดินช่วง 1 กิโลเมตรแรก รู้สึกสบายๆมาก ไม่เห็นมีอะไรเลย เดินเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง ตอนนั้นยังเริงร่าเดินชมนกชมไม้อยู่
พอช่วงกิโลเมตรที่ 2 ความจริงเริ่มบังเกิด… ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เริ่มหยุดพักเหนื่อยเป็นระยะ และเริ่มถี่มากขึ้นในช่วงทางชันมากๆ ระหว่างทางเดิน จะเจอคนแบกกำมะถัน เดินขึ้นลงอย่างรวดเร็วและชำนาญ ทางเดินที่เป็นดินสีดำ จะมีเศษกำมะถันเหลืองโปรยอยู่ตลอดทาง ดังนั้น ถ้าหลงเดินตามกำมะถัน รอดแน่ :p
เดินไปได้ 2 กิโลเมตรกว่า จะมีจุดพัก ขายน้ำ มีห้องน้ำ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่คนขายขนกำมะถันจะมาหยุดเพื่อชั่งน้ำหนักกำมะถันก่อนเดินต่อไป ถ้าใครอย่าได้กำมะถันหล่อเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ไว้เป็นที่ระลึกก็แวะซื้อได้ มีเยอะแยะหลากหลายแบบ หรือจะอุดหนุนจากพี่คนขายแบกกำมะถันก็ได้ พี่เค้ามีพกติดตัวตลอดการขนกำมะถันแหละ
ช่วงสุดท้าย ประมาณ 500 เมตรสุดท้ายเริ่มกลับมาเป็นทางราบที่คดเคี้ยว พวกเราแวะถ่ายรูปกันบ่อยหน่อย เพราะวิวข้างถ่ายสวยงาม
ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว… ยะฮู้!!! ใช้เวลาเดินราว 2 ชั่วโมง ฮ่าๆๆ แวะพักเยอะไปหน่อย :p
วิวตรงหน้าแลดูน่าสะพรึงกลัวเล็กๆ กลิ่นกำมะถันแรงมากขึ้น มองไปด้านหน้าเต็มไปด้วยกลุ่มควันจากเหมืองกำมะถันข้างล่าง พวกเรารีบหยิบหน้ากาก 3m ที่เตรียมมาจากบ้าน (เมืองไทย) มาใส่กันก่อนเดินเข้าไปใกล้ๆ
มีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งนั่งกินลมชมวิวอยู่! เราเดินผ่านไปยังจุดที่เป็นทางลงไปเหมืองกำมะถัน กลุ่มควันกำมะถันบ้างก็หนา บ้างก็เบาบาง แล้วแค่ลมจะพัดไปทางไหน เราเดินไปหยุดตรงทางลง พิจารณาว่าควรลงไปรึเปล่า ระหว่างเรากำลังคิด ก็มีคนงานบอกเราว่าอย่าลงไปเลย มันอันตราย เอ๊ะ… ยังไง แล้วกลุ่มคนเยอะแยะด้านล่างเค้าลงไปทำไมถ้ามันอันตราย ระหว่างเรานั่งคิดลมก็พัดกลุ่มควันกำมะถันลอยมาอีก หน้ากาก 3m อย่างหนาเริ่มเอาไม่อยู่ จริงๆ เราควรเอาหน้ากากเหมือนจราจรที่มีที่กรองอากาศมาด้วย แบบนั้นน่าจะโอเคกว่า
นั่งชมวิวและตัดสินใจอยู่ซักพัก ก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงเดินขึ้นมาพร้อมกับหน้ากากแบบมีที่กรองอย่างดี แล้วก็กล้องแบบโปร เราเดินไปถามว่าเป็นยังไงบ้าง ข้างล่างเป็นยังไง เค้าเลยยื่นกล้องให้เราดูรูป ดูรูปแล้วนึกในใจก็เหมืองกำมะถันหล่ะ ไม่มีอะไรพิเศษ เปลวไฟสีน้ำเงินก็ไม่มีแล้ว ทางเดินลงก็ชันมาก เราถามเค้าว่าคุ้มรึเปล่าถ้าเราจะเดินลงไป เค้ายิ้มและหัวเราะเล็กน้อย ไม่ตอบคำถามตรงๆ แต่ตอบว่า มาถึงแล้วก็ลงไปเถอะ จากการตอบของกลุ่มนักท่องเที่ยวฮ่องกง ทำให้ตัดสินใจว่าเราจะไม่ลงไป ฮ่าๆ
เดินวนๆ ซักพักก็เดินกลับลงมา แวะพักกินอาหารเช้าที่โฮมสเตย์เตรียมให้ระหว่างทาง
ขาลงใช้เวลารวดเร็ว วิ่งลงแบบไม่มีแตะเบรค เพราะเบรคไม่อยู่ ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็กลับมาถึงข้างล่าง
จบทริปคาวาอีเจ้นไปแบบไม่เหมือนใคร เพราะได้วิวตอนสายๆ ถ้าใครอยากเห็นเปลวไฟสีน้ำเงิน ให้เดินขึ้นประมาณตอนตี 1-2 แล้วแต่ความสามารถในการเดินขึ้นเขา ถ้าเราขึ้นมืดๆ ต้องมีไกด์นำทางไม่งั้นอาจตกเขาได้ และควรมีไฟฉายที่สว่างมากๆ คาดหัวได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องถือให้เกะกะ ก่อนไปควรออกกำลังกายบ้าง เพราะไม่งั้นอาจจะใช้เวลากับการเดินขึ้นไปยังปากปล่องคาวาอีเจ้นมากเกินไป นอกจากนี้ ถ้าคิดจะลงไปดูเหมือง ให้ซื้อหน้ากากแบบมีที่กรอง เหมือนตำรวจจราจรไปเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะเวอร์… ไปถึงแล้วจะรู้ว่ามันจำเป็นจริง